เป็นอีกหนึ่งนักร้องหนุ่มมาดเซอร์ ที่หากใครได้เห็นหน้าและฟังเสียงของเขา ก็ต้องนึกออก สำหรับเจ้าของเพลงได้รับความนิยมติดหูยุคก่อน “รู้เห็นเป็นใจ”

อย่างนักร้อง “วิด ไฮเปอร์ อาร์สยาม” ที่เรียกได้ว่าหายหน้าหายตาไปนานเลยทีเดียว ซึ่งในปัจจุบันเราคงจะไม่ค่อยได้ได้ผลงานของหนุ่มวิดกันสักเท่าไหร่

อาจเป็นเพราะด้วยความที่นักร้องคนใหม่ที่มีมากขึ้น จึงทำให้หนุ่มวิดหายไปจากวงการ ปัจจุบันนี้หนุ่มวิดมีธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านนั่งชิวภายใตร้านชื่อ “ร้านนายมีเซ”

บริเวณปากเกร็ดเป็นร้านอาหาร นั่งชิว พร้อมกับดนตรีสด สไตล์ของหนุ่มวิด โดยในบางครั้งหนุ่มวิดก็ขึ้นไปขับร้องเองที่ร้าน

วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาอัปเดตภาพชีวิตในปัจจุบันของหนุ่มคนนี้กัน บอกเลยว่าหนุ่มวิดยังคงมีสไตล์ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังใส่เสื้อยืด

กางเกงยีนส์ขาดๆเซอร์ๆใส่หมวกไหมพรม คงเอกลักษณ์เช่นเคย แถมยังใช้ชีวิตง่ายๆสบายๆติดดิน และยังเดินสายเล่นเพลง เพียงงานเพลงเดี๋ยวนี้จะมีเงียบหายไปบ้าง

หนุ่มวิด ไฮเปอร์ เคยได้ออกมาไขข้อสงสัย ว่าเหตุใดถึงไม่ยอมถอดหมวกไหมพรมออกมาให้เหล่าบรรดาแฟนๆได้เห็นกันสักที ซึ่งเขาก็ได้กล่าวว่า

จริงๆแล้วมันเป็นคาเร็คเตอร์ส่วนตัว แถมเวลาใส่หมวกไหมพรมแล้วมันก็จะมีข้อดีหลายอย่างด้วย ดังเช่นว่า เหน็บโทรศัพได้ ห่อข้าวเหนียวมากินได้โดยไม่ต้องถือมา

เหน็บช้อนเอาไว้ใช้ จุดพีคที่สุดก็คือเอาไว้ซ่อนเงินแฟนก็ได้ด้วย พี่บอกว่าชีวิดลำบาก บาทีอาจจะจำต้องยืมเงิน อายไหม “อาย ที่ออกรายการ จากคนมองเราจุดนี้”

ถ้าเกิดเรามาพูดหรือสัมภาษณ์อะไรออกไป มองต่ำเลยนะ เพราะพวกเราไม่รู้หนอกในความคิดเขาบวกหรือลบ คิดดับเรา”

พี่สามารถดูแลตัวเองกับเงินที่อยู่ในตัวไปได้มากน้อยแค่ไหน “มันมิได้เยอะอะไร ขณะนี้ไม่เท่าไหร่แล้ว ซึ่งมันติดลบหมดแล้ว เราไม่มีรายได้เข้ามันก็ลำบากหมด”

“อีกอย่างเพื่อนฝูงก็คอยช่วยเหลือ แต่บางทีเราทำๆไปแล้วมันไม่ได้อะไรกันเลย พวกเรารู้สึกว่าต้องหยุด ถ้าเกิดไม่หยุดค่าใช้จ่ายมันก็มี”

ปัจจุบันนี้แต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง “มีทั้งค่ารถ ค่าบ้าน รวมแล้ว ห้าหมื่นกว่าบาท แล้วรายจ่าย ค่าโทรศัพท์ ดูแลน้องหมา ให้แม่ ทุกอย่างมันรวมๆแล้วเป็นแสน”

นอกจากเงินที่มันไม่เข้าแล้ว ยังถูกโกงค่าตัวอีก “อึดอัด คนคิดว่าพี่มีเงินเก็บเยอะแยะ จริงๆแล้วพี่เริ่มมาจากศูนย์นะ พี่ไม่มีอะไร บ้านพี่เล่าตั้งแต่เล็กๆ”

กระทั่งพี่ออกเพลง พี่ยังเช่าบ้านอยู่เลย แล้วพี่เริ่มซื้อบ้าน ดาวน์บ้านด้วยการมาตัวเปล่า ซื้อทีวี ซื้ออะไรเข้าบ้านหมดเลย แม่ก็อยู่กับน้อง พวกเราก็พยายามทำแล้วจะได้มาอยู่ด้วยกันได้

เป็นเริ่มมาจากที่ตรงนั้น พี่มิได้มาจาก 10 พอมาจาก 0 มันก็เริ่มมา พอรายได้เข้ามามันก็มิได้เยอะแยะจำนวนมาก เป็นวงก็ต้องหารเสมอกันทุกอย่าง เลยบอกว่ามันไม่ไหว ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างคือมันรอบด้านไปหมดเลย”